วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หนทางไปสู่สันติสุข

คำสั่งสุดท้ายประการหนึ่งก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะจากเหล่าสาวกไปนั่นคือ "ท่านจะอยู่ในโลกนี้ที่มีแต่ความวุ่นวาย"(ยน.16.33) เวลานั้นผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว ซึ่งปัญหาและความวุ่นวายเวลาที่พระองค์ตรัสนั้นเทียบกับในเวลานั้ไม่ได้เลย สังคมโลกมนุษย์เวลานี้เรียกว่าตื่นมาก็มีแต่ความเครียดกันทุกวัน ความกดดันในเรื่องเศรษฐกิจ การงาน ความคาดหวังของคนรอบข้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ขโมยสันติสุขไปจากเรา จากครอบครัวเรา บ้านกลายเป็นที่ไม่น่าอยู่ มีแต่เรื่องวุ่นวายกันอยู่ตลอด อยู่ในบ้านเดียวกันแท้ๆแต่ก็ต้องคอยหลบๆหลีกๆ ไม่ให้มาชนกัน มันไม่เหลืออะไรในบ้านที่เป็นสันติสุข ความสงบร่มเย็นอีกต่อไป เหมือนมีระเบิดเวลาที่พร้อมจะประทุ ระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะแก้ด้วยการทานยาระงับประสาทก็ไม่แก้ หรือตั้งหน้าตั้งตาหาแต่เงินทอง วัตถุสิ่งของ หรือหาความสุขใส่ตัวก็ไม่พบ
สันติสุขในพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้านั้นมีอยู่ 3 ทาง
1. สันติสุขกับคนอื่น (รม12.18) สันติสุขภายนอกนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราทั้งหลายทุกคน และควรพัฒนาให้ยั่งยืนตลอดไป

2. สันติสุขในตนเอง(คส.3.15) สันติสุขภายในใจนี้ก็สำคัญ เป้ฃ็นส่วนที่หายไปจากชีวิตคนเราส่วนใหญ่
3. สันติสุขในพระเจ้า(รม.5.1)  สันติสุขในจิตวิญญาณ ที่เกิดขึ้นมาจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า

สรุปแล้วก็คือ เมื่อเรามีสันติสุขในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราก็จะมีสันติสุขในตนเอง เมื่อตัวเรามีสันติสุขแล้ว เราก็จะมีสันติสุขกับคนอื่น นี่แหละคือขบวนการขั้นตอนที่จะนำเราไปสู่สันติสุข

ความสัตย์ซื่อ 3 ขั้นตอน

พระธรรมเอเฟซัสบทที่4 ข้อที่ 25

การพูดความจริงนั้นฟังดูก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร แต่มี 3 ขั้นตอน
1. ในการพูดการจา เมื่อใครก็ตามถูกพบว่ามีการโกหก ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อคนนั้นลดลง เช่นสามี หรือ ภรรยา ถูกจับได้ว่าโกหกกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง เรื่องปัญหาในครอบครัว
ตราบใดที่ชีวิตสมรสยึดมั่นความจริงต่อกันและกันด้วยความรัก ตราบนั้นก็จะเกิดความมั่นคงเข้มแข็งต่อเขาทั้งสอง(อฟ.4.15)
2. ในนิสัยใจคอและการกระทำ ความสัตย์ซื่อคือกุญแจแห่งชีวิตที่เป็นตัวจริงของจริง ทุกวันนี้สังคมทุกระดับชนชั้นเราต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน ไม่มีความจริงใจต่อกัน(ลก.16.10)

เราจะเป็นคนจริงแท้ได้โดยการรักษาคำพูดของเรา ถ้าหากเราได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรไว้ให้กับใคร เราก็จะต้องรักษาคำพูดนั้น ปฎิบัติตามนั้นอย่างจริงจัง ให้ดีที่สุด

ถึงแม้ว่าในบางครั้งเราอาจจะต้องยอมเสียสละ ยอมละทิ้ง สูญเสียบางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องยอมเพื่อที่จะเป็นคนรักษาคำพูดของเราไว้ให้มั่น

3. ในความเป็นจริง ทำไมการพูดความจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในความสัมพันธ์ชีวิตของคนเรานั้นมันขึ้นอยู่กับการไว้วางใจซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นแล้ว
    ก. เราจะเป็นคนที่ไว้ใจอะไรแก่ใครไม่ได้เลย ชีวิตไม่มีผลดีใดๆแก่ใครได้เลย
    ข. เรามีชีวิตที่ทำอะไรก็ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ทำให้ลำบากใจ ไม่กล้าเข้าหน้าคน ชีวิตขาดความมั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็เป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ มีบาดแผลที่ไม่ยอมหายสักที ต้องคอยเสแสร้งต่อหน้าสาธารณะและชีวิตส่วนตัวไม่พัฒนาดีขึ้นเลย
    ค. เราจะกลายเป็นคนที่ระมัดระวังคำพูดคำจา ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน จะพูดจะบอกอะไรใครก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ก็เลยกลายเป็นคนไม่ยอมพูดจากับใครง่ายๆ
    ง. เราก็จะไม่ไว้วางใจใคร เราไม่เชื่อใจใครง่ายๆ เรามองคนในแง่ร้าย วิพากวิจารณ์เพื่อนบ้านในทางลบ ชีวิตเรากลายเป็นคนขี้ระแวง เราเป็นไปตามกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวของเราเอง
    จ. เราเริ่มทำตัวเหนือคนอื่น คิดว่าใครๆเขาก็โกหกกัน สุดท้าย เราก็ไว้ใจตัวเราเองไม่ได้เฃ่นกัน เลยอยู่ในโลกของตัวเราเองโดยลำพัง

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

27 กรกฏาคม 2016 วิธีรับมือกับคนเจ้าปัญหา

พระธรรมยากอบบทที่1ข้อที่ 19 "พี่น้องที่รักพึงทราบข้อนี้คือ ทุกคนควรไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ"
หนทางที่เราจะหลีกเลี่ยงหนีให้พ้นจากคนเจ้าปัญหาก็คือหนีไปอยู่ที่โลกอื่น ตราบใดที่เราอยู่ในโลกนี้ เราจะต้องพยายามเข้าใจว่า มนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนาใดก็ตามในโลกเรานี้ ล้วนแล้วมีทั้งคนดีคนชั่ว คละเคล้ากันไปหมด เราจะต้องพบจะต้องเจอ
ไม่ว่าแม้กระทั่งพี่น้องที่คลอดมาจากท้องแม่เดียวกันก็ตาม ก็จะมีทั้งดีและไม่ดี ถ้าเราไม่พยายามเข้าใจสิ่งนี้ เราจะอยู่ในโลกสังคมนี้ยากมาก
มีนักบวชท่านหนึ่งอุทิศตัวที่ขอไปอาศัยอยู่ในป่าอาศรมวิเวกวังเวง ไม่พูดไม่จากับใครเป็นเวลา 1 ปี เมื่อ 1 ปีผ่านไปก็ได้ไปพบเจ้าอาวาสวัด เจ้าอาวาสก็บอกว่าขอเชิญพูดได้ สิ่งแรกที่ท่านพูดออกมาก็คือ "ที่นอนลำบากมาก" ปีที่สอง เมื่อให้พูดอีกท่านก็บอกว่า "ที่พักร้อนลำบาก" ปีที่ 3 นักบวชผู้นี้บอกเจ้าอาวาสว่า "อาหารแย่มาก ผมขอลากลับ"เจ้าอาวาสก็บอกว่า "ท่านไม่คิดเรื่องอื่นเลยบ้างหรือไง ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านก็คิดแต่ปัญหาความลำบากต่างๆนานา"
ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่ไหนๆก็ตาม เราก็ยังจะมีคนเจ้าปัญหาตามไปสร้างปัญหาอยู่ทุกที่ทุกแห่ง คนเจ้าปัญหาเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็คอยแต่จะมีแต่ปัญหามีแต่เรื่อง ชอบค่อนแคะ คุ้ยเขี่ยเรื่องของคนอื่น ชอบกวนน้ำให้ขุ่นอยู่ร่ำไป
แล้วเราจะทำอย่างไรดีกับคนเช่นนี้ ศึกษาดูจากชีวิตของชาวไร่ชาวสวน เขาหว่าน เขาปลูก เขาทำรุ่น(ถอนหญ้า พรวนดิน) เขามั่นคงสม่ำเสมอในการงานเช่นนี้เป็นประจำ เหมือนเช่นข้อพระวจนะข้างต้นที่บอกให้เราทุกคนควรไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ 
เราก็จะไม่ไปเป็นคนเจ้าปัญหาคาใจ สร้างความลำบากลำบนให้กับใคร แล้วชีวิตที่ดีและความสำเร็จในการดำรงชีวิตก็จะเป็นของเรา ไม่มีทางลัดทางอื่นใดๆเลย 
หนทางเดียวที่เราจะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนทั่วๆไป คือต้องฝึกฝนตามข้อพระวจนะนี้ด้วยใจอดทน เพียรพยายาม ถ้าเราทำได้เช่นนี้ พระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่กับเรา
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์https://od.lk/f/M18xMzI5MzA4MDlf

26 กรกฏาคม 2016 เราจะต้องมีนิมิตของพระผู้เป็นเจ้า

ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปรเหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน  ยก.1.17
ถ้านิมิตในชีวิตของเราคือการร่ำรวย มั่งมี ศรีสุข ได้มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีแต่ความงกเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้ใช้โดยลำพัง นิมิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน 
นิมิตที่มาจากพระเจ้าและจะประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องรู้จักที่จะเป็นพรแก่คนอื่นด้วย นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง
เมื่อพระผู้เจ้าประทานนิมิตให้อับราฮาม พระองค์ประทานพระสัญญาไว้ดังนี้
 "เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ
และเจ้าจะเป็นพร เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า
ทุกชนชาติทั่วโลก จะได้รับพรผ่านทางเจ้า” (ปฐก.12.2)
นิมิตที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องฝ่ายจิตวิญญาณ
จากข้อพระธรรมข้างต้นเราจะเห็นว่า"ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศล้วนมาจากเบื้องบน" ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถ ลาภ ยศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆที่ดี ล้วนมาจากเบื้องบน เป็นของสูงที่มาจากพระผู้สร้าง 
ไม่ว่าคนนั้นจะทราบจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พระพรและพระสัญญานี้ก็มีเพื่อจะเป็นพรแก่ตัวของเขาและครอบครัวและเผื่อแผ่ไปสู่ผู้อื่น นี่คือนิมิตของพระผู้เป็นเจ้า 
เราไม่ต้องไปแสวงหานิมิตอะไรใหม่ๆจากพระผุ้เป็นเจ้าอีกแล้ว  เพราะมีนิมิตเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสผ่านในวาระสุดท้ายนี้ คือทางของพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น(ฮบ.1.2) 
เราจะต้องปรับวิสัยทัศน์ของเราในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ปรับทัศนคติเรื่องความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์เสียใหม่ จัดระเบียบเรื่องการมีสิ่งดีๆที่มาจากเบื้องบนนี้เสียใหม่ 
ท่านออกัสตินกล่าวว่า ในของดี ความจริง ปัญญา ความเฉลียวฉลาด ความสามารถเก่งกาจของมนุษย์นั้นทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบนทั้งสิ้น 
พระองค์ทรงเป็นจ้าวแห่งความจริงทั้งสิ้นทั้งปวง ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ มีจุดยืนนี้อย่างนี้แล้ว เราก็จะทุ่มเท กำลังกายกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มที่ ที่จะให้ตัวเราเป็นท่อพระพร บ่อน้ำพุขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พระพรนานับประการไหลผ่านเราไปสู่โลก เพื่อประกาศพระสิริของพระองค์
“พระ‍ยาห์‌เวห์​นั้น​ยิ่ง‍ใหญ่ พระ‍องค์​ผู้​พอ‍พระ‍ทัย​ใน​ความ​สม‌บูรณ์‍พูน‍สุข​ของ​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​พระ‍องค์” สดด.35.27 
นี่แหละนิมิตที่พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาที่จะให้เรามี
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ

ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

25 กรกฏาคม 2016 พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา

"เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครเล่าจะต่อสู้เราได้? พระธรรมโรมบทที่ 8 ข้อ 31ประโยคนี้ไม่ใช่เป็นการตั้งคำถาม และก็ไม่ใช่ที่ใครจะมาต่อสู้เรา แต่ข้อนี้กำลังจะเน้นว่า พระเจ้านั้นทรงสถิตอยู่กับเราไม่ว่าพ่อแม่จะละทิ้งเราไป ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนใกล้ชิดปฎิเสธเรา หรืองานแล้วงานเหล่าที่ปฎิเสธรับเราเข้าทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บหรือปัญหาใด พระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ใกล้เรา อยู่กับเรา ผมไม่ได้บอกว่าเราจะไม่มีปัญหาใดหรือความทุกข์ใดๆ แต่จะบอกว่าไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางหรือต่อสู้เราได้ เพราะพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราไม่ใช่"ถ้า" "อาจจะ" หรือ "บางที" ไม่ว่าคุณจะทำดีสักเพียงไรหรือมีบาปชั่วมากมายแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดว่าพระเจ้าจะอยู่กับเราหรือไม่ขอให้เราตระหนักไว้เสมอว่า พระผู้เป็นเจ้าสถิตเคียงข้างคุณทุกเวลานาที พระองค์ทรงให้กำลังใจ เชียรให้เราเดินหน้าต่อไป ขอให้เรานับพระพร ย้อนดูนับทีละอัน แล้วเราจะเห็นว่า ตลอดวันเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงมีพระหัถต์เหนือชีวิจของเรามาตลอดขอเน้นอีกครั้งนะครับ ไม่ใช่ผมกำลังจะมองโลกสวย หรือถนนปูด้วยกลีบกุหลาบ เพียงแต่จะเตือนใจคุณว่า " ดูเถิด เราได้สลักชื่อของเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา" พระธรรมอิสยาห์บทที่ 49 ข้อที่ 16ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์
https://od.lk/f/M18xMzI2OTE0MTFf

24 กรกฏาคม 2016

ฟื้นฟูใจจากการหย่าร้าง (1)

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต อสย.43.18

ผลพวงจากการหย่าร้างนั้นเป็นความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานใจมากที่สุด มากยิ่งกว่าความทุกข์ใดๆของมวลมนุษย์ชาติ

ใครที่มีประสบการณ์นี้ก็ย่อมรู้แก่ใจได้ดี ถ้าไม่เคยก็ให้ดีใจและมีน้ำใจเมตตาต่อคนที่รับผลกรรมของการหย่าร้าง

มันเป็นเรื่องของจิตใจที่แตกสลาย บอบช้ำจากการถูกทอดทิ้งปฎิเสธ ไม่มีความรัก ไม่เหลือเยื่อใยใดๆอีกต่อไป มันแย่ยิ่งการการตายที่เพียงเป็นการดับสูญ หายไปแต่การหย่าร้างมันเป็นความตาย ความทุกข์ทรมานที่ไม่มีวันหมดไปตราบใดที่คู่กรณียังมีชีวิตอยู่

บางคืนความเหงา ความว้าเห่วในยามค่ำคืนที่ไม่มีใครสักคนสนใจเรา คุณรู้สึกทำอะไรไม่ได้สักอย่าง มันตื้อตันไปหมด เรื่องง่ายๆก็กลายเป็นเรื่องยาก ความหงุดหงิดรำคาญใจก็เกิดขึ้น เพื่อนใกล้ชิดก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่เราต้องการ

อย่าท้อแท้ใจ สถานะการณ์เช่นนี้มันไม่ใช่จะคงอยู่ตลอดเวลา คุณจะต้องรับการฟื้นฟูใจใหม่ สถานะการณ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คุณจะต้องไม่จมในความทุกข์ระทมอย่างนี้ตลอดไป แต่มันจะต้องใช้เวลา ทุ่มเท เสียสละบางสิ่งบางอย่าง ในความรุ่งเรืองอาจจะไม่เท่าเดิม แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็จะช่วยพยุงให้คุณลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่ มีความรักใหม่ เริ่มต้นใหม่ ต่อไป

เมื่อคุณทุ่มเทเวลาเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระวจนะ พระสัญญาของพระองค์ แน่นอนเลยว่าพระผู้ทรงสร้างจะสร้างคุณขึ้นมาใหม่ เคล็ดลับแห่งชีวิตต่างๆจะถูกเปิดเผยให้คุณได้ทราบ ไม่ช่าไม่นานที่คุณจะสามารถยืนบนลำแข้งของคุณเองได้ แล้วก้าวออกไปข้างได้เหมือนเดิม

(สดด.147.3) "พระองค์ทรงรักษาผู้ที่ดวงใจแหลกสลาย และสมานรอยแผลของเขาเหล่านั้น" พระสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าบอกไว้อีกแห่งว่า"“เรานี่แหละคือผู้ที่ลบล้างการล่วงละเมิดของเจ้าเพื่อเห็นแก่เราเอง
และจะไม่จดจำบาปของเจ้าอีกต่อไป" (อสย.43.25)

ไม่มีความบาปอะไรที่พระผู้ทรงสร้างจะให้อภัยไม่ได้ ขอให้เรามอบหนทางและชีวิตให้กับพระองค์ พระผู้สร้างชีวิต

ขอพระพรจากองค์พระบิดาเจ้าผู้ที่ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย อวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์


23 กรกฏาคม 2016

อธิษฐานด้วยท่าทีที่ถูกต้อง

2 สิ่งที่เราทำผิดในการอธิษฐาน

1. เรามุ่งเน้นไปที่ความล้มเหลวของเราจนไม่มีความมั่นใจ ความเชื่อในการอธิษฐาน (ดู 1 ยน 3: 21-22)

2. เรามีท่าทีผิดๆ พระธรรมสดุดีบทที่ 139 ข้อที่ 23-24 " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตรวจตราดูเถิด และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงตรวจสอบและประจักษ์แจ้งความคิดกระวนกระวายของข้าพระองค์
โปรดดูว่ามีสิ่งใดบ้างในตัวของข้าพระองค์ซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัย และขอทรงนำข้าพระองค์ไปตามวิถีนิรันดร์ "

บางครั้งที่พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของเราก็เพื่อเป็นการดีของเรา หรือบางทีอาจจะยังไม่ตอบทันทีทันใด

บางทีความต้องการในเรื่องที่อธิษฐานอาจจะเป็นเรื่องจริง เรื่องด่วนแต่ว่ามีท่าทีผิดๆ มีวาระแอบแฝง อยากอวดอยากเอาหน้า ไม่ชอบขี้หน้าใครบางคน อยากเอาชนะล้ำหน้าคนอื่น อยากจะเห็นคนอื่นได้ทุกข์ ซ้ำเติมคนที่ไม่ผิดฯลฯ

ในอดีตก็มีตัวอย่างของคนคลั่งศาสนาตามืดตาบอดบอด มองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเคร่งศาสนากับคลั่งศาสนา

พวกเขาต่อสู้เพื่ออิสระเสรีแต่ยังกดขี่คนยากคนจน คนใช้ในครัวเรือน เขาต่อต้านการกดขี่ข่มแหงทางเพศแต่ไม่เคยสำแดงความรักความอบอุ่นในครอบครัวของตน

ในบางครั้งการไม่ตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ดีในบางเรื่องบางเวลา ปกป้องเราจากการทำตามเนื้อหนัง ตามใจของเราเอง

บางคนยิ่งสูงก็ยิ่งเพี้ยน ยิ่งมีหน้ามีตา มีตำแหน่ง ใครบอกใครเตือนก็ไม่ได้ ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่

ลองคิดดูซิว่าถ้าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานทุกคำอธิษฐาน ที่ใช้การอธิษฐานเป็นเครื่องมือสร้างพลังอำนาจควบคุมโลกและชุมชนให้อยู่ภายใต้ของตน มันเป็นความวินาศสันตะโร เกิดความเสียหายป่นปี้บนโลกใบนี้สักเพียงไร เหมือนกับเด็กที่ถูกตามใจมีของเล่นทุกอย่างที่อยากได้มีเงินมากมายจนสุหรุ่ยสุหร่าย กระนั้นก็ยังไม่พอไม่อิ่ม ไม่สนใจใครจะเดือนร้อนอย่างไร ใช้อำนาจบาทใหญ่เหนือคนอื่นๆ หลงระเริงในลาภ ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว(อสย.30.18)

การที่คำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบหรือยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะทำให้เราผิดหวัง ท้อถอย สับสนในตอนแรก แต่ก็อาจจะเป็นการช่วย ปกป้องตัวเราให้เข้าไปใกล้ชิด ติดสนิทพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงท่าทีจิตใจของเราเสียใหม่

เป็นเสมือนไฟถลุงเงินถลุงทองที่เอาขี้แร่ออกไปจากตัวเราให้เป็นทองคำเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์มีค่า ช่วยปรับปรุงคำอธิษฐานของเราให้เกิดผลในอนาคตต่อไป  เหล่านี้อยู่ที่การมีท่าทีต่อการอธิษฐานที่ดีและถูกต้องนั่นเอง

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

22 กรกฏาคม 2016

กระท้อนต้องทุบถึงจะอร่อย กระดังงาต้องลนไฟถึงจะหอม

เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับ คือจิตวิญญาณที่ชอกช้ำ ข้าแต่พระเจ้า ใจที่ชอกช้ำและสำนึกผิดนั้น
พระองค์จะไม่ทรงดูหมิ่น สดด. 51.17

การที่เราจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยพระพรและฤทธิ์อำนาจจากองค์พระผู้ทรงสร้างได้นั้น เราก็จะต้องยอมมอบถวายตัว ถวายชีวิตให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ

แล้วก็ยอมให้พระองค์ลิดรอนสิ่งที่พระองค์เห็นว่ามันเป็นกาฝากในชีวิตของเรา ซึ่งมีแต่จะทำลายเรา ทรงดัด ทรงคัดทางเดินของเราให้ออกจากทางแห่งหายนะเปลี่ยนไปสู่ทางแห่งชีวิต

 แต่กว่าจะสำเร็จให้ได้ดั่งพระทัยของพระองค์เจ้านั้น เราก็จะต้องยอมเลิกปากแข็ง ใจแข็ง ใจดื้อกระด้าง เย่อหยิ่งผยองออกไปให้หมดเสียก่อน

บ่อยครั้งในความดื้อรั้นของเรา ถ้าเพียงแค่เรายอมถ่อมใจให้พระผู้สร้างนำพา เราก็จะมีจิตใจที่ถ่อมสุภาพ หรือในความโลภ งก เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เมื่อเรายอมให้องค์พระผู้สร้างนำพา เราก็จะเป็นคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กลายเป็นคนละคนไปเลย นี่แหละคือสิ่งตรงกันข้ามกับที่ถ้าหากเราไม่ดื้อที่จะยึดติดกับนิสัยเก่าๆของเรา

แต่ทุกวันนี้ผู้เชื่อของพระผู้เป็นเจ้าต่างก็สวมหน้ากากศาสนาเข้าหากัน แสดงให้คนอื่นเห็นสิ่งที่เขาคิดว่าดี ชอบธรรม น่าเคารพเลื่อมใส ศรัทธา นั่นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้นแต่เบื้องหลังหน้ากากนั้นเขายังไม่ได้ยอมให้พระเจ้านำพาชีวิตจริงๆ

บางคนมีผลงานที่ดูเหมือนยอดเยี่ยม เก่ง ดูเหมือนจะเกิดผลมาก แต่ถ้าไม่มีกมลสันดานที่ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าจะเด่นจะดังเพียงไร ก็สามารถล้มลงไม่เป็นท่าได้เช่นกัน เหมือนม้าแข่งฝีเท้าดี ต่อให้มาจากสายพันธุ์ดียอดเยี่ยมเพียงไร แต่ไม่เคยได้ถูกปราบพยศแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถขี่มันได้เลย

ในสนามแข่งที่มีเสียงเชียรม้าแข่งแต่ละตัวดังลั่น ไม่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน แต่มันจะได้ยินเสียงเดียวเท่านั้นที่มันจะเชื่อฟัง คือเสียงจ๊อกกี้ของมัน ที่จะเชียรมันวิ่งเข้าสู่หลักชัย

เช่นเดียวกันกับเรา ในแต่ละวันเราจะได้ยินเสียงหลากหลาย บอกให้เราทำโน่นไปนี่ แต่การที่เราจะไปสู้เส้นชัยแห่งชีวิตได้นั้น ก็จะต้องได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าของชีวิตเท่านั้น ที่จะบอกเรา ชี้นำพาเราไปสู้หลักชัยแห่งชีวิตของเรา

นั่นก็คือเราจะต้องมีความถ่อมใจ ยอมให้พระองค์นำพาชีวิตของเราจริงๆด้วย(สดด.25.9)

อีกประการหนึ่งที่สำคัญสำหรับม้าแข่งที่จะวิ่งเข้าหลักชัยก็คือ บังเหียร  ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้าเหมือนม้าที่ไม่มีจ๊อกกี้ขี่ ไม่มีบังเหียรชักนำไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ชีวิตจะสะเปะสะปะหาหนทางแห่งความรอด ความจริงของชีวิต

พยายามไปตามเท่าที่กำลังและหนทางที่จะทำได้ แต่ผลสุดท้ายก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หมดเรี่ยวหมดแรง องค์พระผู้สร้างได้สร้างเรามา พระองค์จะเป็นผู้นำพาเรากลับไปสู้เส้นทางดั้งเดิมของเรา เส้นทางแห่งสันติสุข เส้นทางที่ไม่ใช่กำลังของมนุษย์จะสามารถเข้าไปได้ นอกจากโดยพระคุณของพระองค์เท่านั้น(1 คธ. 6.19-20)

ดังนั้นขอให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการเชื่อฟังพระองค์จริงๆ

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

21 กรกฏาคม 2016

จุดบอดของตัวเรา

วันนี้ขอพูดถึง การมองดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่แล้วเราจะมีจุดบอดหลายอย่างในตัวเราเอง

เราต้องการคนที่จริงใจบอกความจริงแก่เรา ไม่ต้องใส่ไข่เติมสีอะไร ขอให้เป็นความจริงล้วนๆ
คนที่เขารักเราจริงๆ จะมีใจเป็นห่วงเป็นใยเรา ที่จะกล้าตักเตือนบอกเราถึงสิ่งที่ตัวเราเองมองไม่เห็นจุดบกพร่องเหล่านี้

ไม่ว่าจะความบาปที่ฝังลึกในตัวเรา ที่เราต้องกำจัดมันออกไป

เราอาจจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่นัก พยายามหลบหลีก คุณจะต้องอย่ามองเป็นเรื่องส่วนตัว

ให้มองข้ามถ้อยคำตรงไปตรงมาของเขา ฟังและคิดถึงสิ่งที่เขาบอกบอกเรา

ความจริงในสิ่งที่เขาตักเตือนตัวเรานั้นเป็นจริงหรือเปล่า

พระธรรมสุภษิตบทที่ 12 ข้อที่ 15 ได้กล่าวไว้ว่า
" คนโง่คิดว่าทางของตนถูกต้อง ส่วนคนฉลาดยอมรับฟังคำแนะนำ"

ความจริงบางครั้งก็เจ็บปวด แต่เราก็ต้องเชื่อและวางใจในคนที่กล้าพูด กล้าสอนแก่เราตรงๆ หวังดีและห่วงใยชีวิตของเราจริงๆ

ถ้าเราอยากจะเห็นชีวิตของเรา ครอบครัวของเรา ประสบกับความสำเร็จในชีวิตนี้จริงๆ

คุณจะต้องยอมเปิดใจ เชื่อและวางใจใครสักคนที่คุณไว้วางใจได้ คนที่เขามองชีวิตของคุณอย่างเข้าอกเข้าใจ ทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าหนทางชีวิตของคุณจะไปทางใดจบลงตรงที่ไหน

ยื่งถ้าคุณอยากจะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับตัวคุณ คนนี้แหละก็คือคนที่สามารถจะบอกคุณได้ตรงๆ

คุณต้องการฟังคำแนะนำจากเขา ไม่ใช่ฟังแต่คนที่คอยที่จะพูดเอาใจคุณแต่อย่างเดียว ดังภาษิตที่บอกว่า เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก

ดังนั้นถ้าคุณมีใครกล้าตักเตือนว่ากล่าวหรือแนะนำสิ่งใดๆในตัวเรา สิ่งแรกก็อย่าหุนหันพลันแล่นโกรธเคือง ไม่พอใจเขา ฟังหูไว้หูก่อน

เขาอาจจะหวังดีหรือหวังร้ายก็ได้ แล้วค่อยมาพิจารณาว่า สิ่งที่คนนี้พูดมันคืออะไร เรารู้จักนิสัยใจคอเขาดีไหม เขาเป้นคนเช่นไร

ในพระธรรม สุภาษิตบทที่ 13 ช้อที่ 15 ได้บอกว่า "ความหยิ่งยโสมีแต่นำไปสู่การวิวาท แต่ปัญญาพบได้ในผู้ที่รับฟังคำแนะนำ"

แผนการณ์งานต่างๆที่ไม่ประสบความสำเร็จ ล้มเหลว เพราะขาดที่ปรึกษาที่ดี ที่จริงใจ

จากพระธรรมสุภาษิตเดียวกัน บทที่ 15 ข้อที่ 22 ก็ได้บอกว่า "ขาดคำปรึกษาแผนงานต่างๆ ก็ล้มเหลว แต่มีที่ปรึกษาหลายคนทำให้ประสบผลสำเร็จ"

คำถามที่อยากจะถามท่านว่า ใครที่กล้าบอกความจริงแก่คุณ คนนั้นแหละเพื่อนแท้ของคุณ

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

20 กรกฏาคม 2016

ฉันอยากจะ....

ท่านอาจารย์เจมส์ ด๊อบสัน ปรามาจารย์เรื่องครอบครัวได้กล่าวถึงเรื่องของคุณครูชั้นประถมปีที่ 6 ที่เล่าให้ท่านอาจารย์ฟังถึงชั้นเรียนวิชาเรียงความ ที่คุณครูท่านนี้ได้ให้การบ้านนักเรียนไปเรียงความที่ขึ้นต้นด้วยว่า "ฉันอยากจะ..." 

คุณครูท่านนี้ก็คิดว่านักเรียนขั้น ป.6 ของเธอนี้คงจะเขียนในทำนองว่า ฉันอยากจะได้รถจักรยาน อยากจะของเล่น สัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ไปเที่ยวสวนสนุก ฯลฯ แล้วอะไรๆในทำนองนี้ 

แทนที่จะเป็นเช่นที่คุณครูท่านนี้คิดอย่างนั้น ก็ปรากฎว่านักเรียน20คนจากทั้งชั้น30คนได้เขียนบอกถึงเรื่องครอบครัวที่มีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้ง แตกแยก

"ฉันอยากจะเห็นพ่อแม่เลิกทะเลาะกัน ฉันอยากจะให้พ่อกลับมาหาฉัน ฉันไม่อยากเห็นแม่มีแฟนใหม่ ฉันอยากจะได้คะแนนดี เพราะพ่อจะรักฉันมากกว่านี้ ฉันอยากจะมีพ่อเดียวแม่เดียวที่เด็กคนอื่นๆจะได้ไม่ล้อเลียนฉัน ฉันโตมากับพ่อ 3 คนแม่ 3 คน เขาทำให้ฉันช้ำใจมาก ฉันอยากจะมีปืนที่จะยิงคนที่ทำให้ฉันอับอายขายหน้า

ไม่มีวันไหนที่ข่าวหน้าแรกของหนังสือพิมพิ์ไม่มีเรื่องปัญหาของครอบครัว

ท่านอาจารย์เจมส์ ด๊อบสันกล่าวต่อไปว่ามันทำให้ท่านสะเทือนใจมากที่เห็นเด็กๆในวัยนี้ต้องโตขึ้นมาพร้อมเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากที่มาจากผลการกระทำของผู้ใหญ่เหล่านี้ และมีเด็กจำนวนเป็นล้านๆคนที่อยู่ในสภาพเช่นเดียวกันนี้

ชีวิตในช่วงเจริญเติบโตของพวกเขาต้องมีผลกระทบมาจากความไม่สงบของครอบครัว ยิ่งไม่ได้รับคำแนะนำปรึกษาที่ดี เด็กๆเหล่านี้ก็จะเก็บเอาผลกระทบของปัญหาเหล่านี้โตขี้นไปสู่ความสัมพันธ์ในอนาคตของพวกเขาด้วย สังคมก็จะมีปัญหาเรื่องราวเช่นนี้ซ้ำรอยกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ให้เรากลับไปที่ชั้นเรียนป 6 นี้อีกทีแล้วลองถามตัวเราเองว่า แล้วลูกหลาน คนใกล้ชิดเราจะเรียงความนี้ที่ว่า "ฉันอยากจะ..."อย่างไรในครอบครัวของท่าน.

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า "คำบัญชาของเราก็คือ จงรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักพวกท่าน" พระธรรมยอห์น บทที่ 15 ข้อที่ 12

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สวุรัตน์

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

19 กรกฏาคม 2016

เวลาที่ผมขับรถผ่านเข้าอุโมงค์ เด็กๆก็จะบอกให้กลั้นหายใจว่าใครจะกลั้นได้นานที่สุด หรืออย่างน้อยกลั้นจนพ้นไปถึงปากอุโมงค์อีกด้านหนึ่ง

ชีวิตของเราในโลกนี้ก็เช่นกันเมื่อจากฟากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าก็คงจะเป็นเช่นนั้น ลูกของพระผู้สร้างก็เช่นกันเราบอกราตรีสวัสดิ์จากโลกนี้แล้วก็พระผู้สร้างจะทักอรุณสวัสดิ์กับเราอีกฟากหนึ่ง

พญ. Elizabeth Kübler-Ross อธิบายว่าช่วงสุดท้ายของคนที่จะสิ้นชีวิตนั้น จะมีปฎิกิริยาขั้นตอนหลายรูปแบบ
1. แบบช๊อค ตกใจ "โอ้พระเจ้าช่วยด้วย"
2.แบบไม่ยอมรับความจริง "มันเป็นไปไม่ได้"
3.แบบโกรธ "ทำไมจะต้องเป็นฉัน"
4.แบบต่อรอง "ได้โปรดเถิดพระเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้าตายเลย จะให้ทำอะไรก็ยอม"
5.แบบหมดอาลัยตายอยาก "มันจบแล้ว ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม"
6. แบบทดสอบ "ฉันจะทำอะไรดีให้คุ้มค่า ที่ก่อนที่ฉันจะตาย"
7. แบบปลงตก "จะสู้ไปทำไมยังไงๆก็หนีความตายไปไม่พ้นสักคน"

ความจริงก็คือว่า ทันทีที่เราเกิดมาในโลกนี้ นาฬิกาชีวิตก็เริ่มนับถอยหลังแล้ว เมื่อเรายังเป็นเด็ก วัยหนุ่มสาว เราไม่ค่อยจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เราสนุกสนาน สดชื่นรื่นเริง ยุ่งวุ่นวายกับการเรียน การทำงาน ความตายก็เป็นเรื่องไม่อยากคิดถึงมัน

เราก็เป็นเหมือนกับถ้อยคำที่เขาสลักบนหินหลุมฝังศพของคนที่ไม่คิดว่าจะเสียชีวิตอย่างกระทันหันว่า "ข้าพเจ้ารู้ว่าสักวันต้องตาย แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"

ยิ่งเรามีอายุกันมากขึ้นทุกวันๆ เวลาที่เราเหลืออยู่ในโลกก็น้อยกว่าเวลาที่เราผ่านเข้ามาในโลกนี้แล้วเข้าทุกทีทุกวันๆ เราก็จะอธิษฐานเหมือนที่พระธรรมสดุดีบทที่ 90 ข้อที่ 12 ที่บอกว่า
"ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันคืนของตน เพื่อจะได้มีจิตใจที่กอปรด้วยสติปัญญา"

มีบางคนถามท่านอาจารย์ Charles Spurgeon ว่าท่านจะมีพระคุณที่จะอยู่ในยามวัยชราไหม ท่านอาจารย์ Charles Spurgeon ก็ตอบว่า "ตอนนี้ยังไม่มีแต่วันที่ฉันต้องการพระคุณ พระองค์จะประทานให้เอง"

พระคุณของพระผู้สร้างที่คุณได้รับความรอดนี้ ก็เป็นพระคุณที่จะดำรงคงมั่นอยู่กับคุณไปตลอดวันคืนชีวิตของคุณ จนผ่านพ้นจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าของพระองค์

(ตอน 2)

มีเพลงคันทีร์อมตะเพลงหนึ่งที่ร้องว่า "ใครๆก็อยากไปสวรรค์ แต่ไม่มีใครอยากจะตาย

" ทำไม บางที เป็นเพราะว่าเราไม่แน่ใจว่าเราพร้อมที่จะไป แท้จริงเราสามารถเตรียมพร้อมที่จะไปสวรรค์ได้ทุกเวลา

1. เตรียมพร้อมฝ่ายจิตวิญญาณ องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้สิ้นพระชนม์แล้วฟื้นขึ้นมาจากความตายที่เราฉลองวันอีสเตอร์กันทุกๆปีนั้น ได้กล่าวไว้ว่า อำนาจของความตายไม่มีในคนของพระองค์

“เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตายและให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาตายไป และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่และเชื่อในเราจะไม่ตายเลย.." ยน.11.25

2. เตรียมพร้อมฝ่ายความผูกพันธ์ ด้วยความรัก ความห่วงใยคนรอบข้างของเรา ยกโทษให้ทุกๆคนที่ทำให้เราเจ็บ หาทางคืนดี ขอโทษคนที่คุณไปทำให้เขาเจ็บ

"เมื่อท่านยืนอธิษฐาน จงให้อภัยคนที่ท่านไม่พอใจ เพื่อพระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยบาปของท่าน" มก.1125


3. เตรียมพร้อมด้านการธุรกรรม องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอง ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ก็ได้มอบการดูแลมารดาของพระองค์ให้สาวกคนใกล้ชิดดูแล ผู้ดูแลที่ดีจะจัดการเรื่องมรดกทัรพย์สิน พินัยกรรมทุกอย่างให้เรียบร้อย พิธีกรรมในการจัดงานศพ ฯลฯ

ดูแล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นเรื่องที่น่าคุยสักเท่าไร แต่สิ่งนี้คือความรับผิดชอบฝ่ายจิตวิญญาณของเราที่จะต้องเตรียมตัวไว้

ท่านอาจารย์เปาโล ได้บอกไว้ว่า " ข้าพ‌เจ้า​ลำ‌บาก​ใจ​ระหว่าง​สอง​ฝ่าย​นี้ คือ​ว่า ข้าพ‌เจ้า​มี​ความ​ปรารถ‌นา​จะ​จาก​ไป​เพื่อ​อยู่​กับ​พระ‍คริสต์ ซึ่ง​ประ‌เสริฐ​กว่า​มาก​นัก " ฟป.1.23

ทำไมท่านอาจารย์เปาโลกล่าวว่า จาก​ไป​เพื่อ​อยู่​กับ​พระ‍คริสต์ ซึ่ง​ประ‌เสริฐ​กว่า​มาก​นัก

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงนำท่านไปเห็นสวรรค์แล้วหน่อยหนึ่ง ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

กษัตริย์ดาวิดก็คงมีประสบการณ์เช่นเดียวกัน จนได้เขียนไว้ในพระธรรมสดุดีบทที่ 16 ข้อที่ 11 กล่าวว่า"พระ‍องค์​ทรง​สำแดง​วิถี​แห่ง​ชีวิต​แก่​ข้า‍พระ‍องค์ต่อ‍พระ‍พักตร์​พระ‍องค์​มี​ความ​ยินดี​เปี่ยม‍ล้นใน​พระ‍หัตถ์​ขวา​ของ​พระ‍องค์​มี​ความ​เพลิด‍เพลิน​อยู่​เป็น​นิตย์"

ขอพระผู้เป็นเจ้าเจ้าแห่งชีวิตสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ อวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

18 กรกฏาคม 2016

งานรับใช้พระผู้เป็นเจ้า(1)

เรื่องราวในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ตอนนี้ ได้พูดถึงเรื่องคนง่อยที่ได้รับการอัศจรรย์หายโรค ว่าต้องใช้คน 4 คนหามชายง่อยคนนี้ไปหาพระเยซู 

แล้ว 4 คนนี้ก็ไม่ใช่จะเป็นคนที่มีนิสัยจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ 

เมื่อพวกเขาหามคนง่อยนี้ไปหาพระเยซูที่บ้านหลังหนึ่งก็เข้าไปไม่ได้ เพราะคนมาหาพระเยซูเยอะมาก

พวกเขาพากันรื้อหลังคาบ้านหลังนั้น(บ้านในสมัยนั้นคงจะเป็นบ้านที่มีดาดฟ้าเรียบๆโป๊ะดินเหนียว รื้อซ่อมไม่ยาก)

ถ้าเราคิดจะช่วยใครให้พบกับองค์พระผู้ช่วยให้รอด มาดูว่า ชายสี่คนนี้ทำกันอย่างไรนะครับ

1. เขาเข้าอกเข้าใจและมองเห็นความลำบากของชายง่อยคนนี้ เขาช่วยตัวเองไม่ได้เลย เจ็บปวด ไร้ที่พึ่ง ถ้าไม่มีใครออก ไปบอกไปแจ้งให้เขารู้เรื่องของพระผู้ช่วยให้รอดแก่เขา เขาไม่มีทางจะได้รู้เรื่องเลย บางคนอาจจะไม่ง่อยทางร่างกายแต่ข้างในใจหลายคนเป็นง่อยกันเยอะมาก จะให้คนง่อยเดินมาหาเราคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากคนดีต้องออกไปหาคนลำบาก

2. อย่าให้เขาผิดหวังเพราะมีอุปสรรค์กั้นขวาง การอุทิศตนเพื่อนำพาใครบางคนไปหาพระผู้ช่วยให้รอดนั้นคือการหนุนใจ ปลอบใจ ให้กำลังใจสร้างความมั่นใจจนกว่าจะได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

3. อดทนให้พระผู้เป็นเจ้าสร้างชีวิตของเขาขึ้นมาใหม่ อย่ารีบร้อนละทิ้งหรือปล่อยเขาไว้เมื่อบางครั้งอาจจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจิตใจใดๆเกิดขึ้นทันทีทันควัน

องค์พระผู้เป็นเจ้ามีวิธีสร้าง วิธีเปลี่ยนในเวลาและโอกาสของพระองค์เอง ซึ่งวิธีการและความอดทนของเราอาจจะไม่ตรงกับของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ เราอาจจะใจร้อน ละทิ้งตัดสินคนที่มาหาพระเยซูเร็วเกินไปก็ได้

สิ่งแรกที่พระผู้สร้างจะจัดการคือ การอภัยบาปโทษของเขาเสียก่อน จากนั้นพระองค์จะประทานการรักษาโรคแก่เขา (มก.2.5-11)

อย่าเข้าใจผิดในเรื่องพระเจตนาของพระเจ้าการรักษาโรค ว่าบางครั้งอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลของเรา อย่าลืมว่าพระเจ้าไม่ใจร้อน เมื่อพระองค์ทรงริเริ่มการงานใดๆกับใคร พระองค์ก็จะทรงกระทำให้งานนั้นสำเร็จ

"ข้าพ‌เจ้าแน่ใจอย่าง‍นี้ว่าพระ‍องค์ผู้ทรงเริ่ม‍ต้นการดีไว้ในพวก‍ท่าน จะทรงทำให้สำเร็จจน‍ถึงวันแห่งพระ‍เยซู‍คริสต์" พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 1 ข้อ6

ขอองค์พระผู้สร้างประทานพระพรพระกำลังให้ทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์
งานรับใช้พระผู้เป็นเจ้า(2)

เมื่อสี่คนแบกเพื่อนที่เป็นอัมพาตของพวกเขามาถึงที่บ้านที่พระเยซูกำลังเทศนา ก็เข้าไปหาพระเยซูไม่ได้เพราะคนเยอะมาก มีทางเลือกอยู่สองอย่างก็คือไม่เข้าไปแล้วล่ะทิ้งเขาคอยข้างนอกก็แล้วกัน หรือไม่ยอมแพ้หาทางที่จะพาเพื่อนเข้าไปหาพระเยซูให้ได้ 

โชคดีที่คนง่อยมีเพื่อนที่ดี ไม่ทิ้งเพื่อน ด้วยเหตุนี้ที่เพื่อนๆได้ตัดสินใจที่จะรื้อดาดฟ้าหลังคาบ้าน จนทะลุที่สามารถหย่อนเพื่อนของเขาลงไปหาพระเยซูจนได้

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเชื่อ ความห่วงใย ความรักของหนุ่มๆ
เหล่านี้ต่อเพื่อนของเขา พระองค์ก็ตรัสว่า “เราสั่งเจ้าว่าลุกขึ้น จงแบกที่นอนกลับไปบ้านเถิด”

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นก็สร้างความประหลาดใจแก่คนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นเป็นอย่างยิ่ง

เขาก็จึงลุกขึ้นแบกที่นอนแล้วเดินกลับบ้านต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างก็ประหลาดใจและสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้เลย!”(มก2.11-12)

ไม่ว่าหลังคาอะไรที่ปิดบังองค์พระเยซูไปจากความต้องการของคนที่คุณรักและอยากจะให้เขาได้รับการแตะต้องจากองค์พระเยซู คุณจะต้องรื้อมันลงให้ได้

อย่าให้อะไรมากีดขวางทางพระพรแห่งการรักษาโรค อาชีพการงาน ชีวิตสมรส ลูกหลานที่สมบูรณ์ หรืองานรับใช้ที่เกิดผล ก็อยู่ที่ว่าคุณพร้อมและยินดีที่จะขุดรื้อมันลงเพื่อคนอื่นหรือไม่

คนเช่นเพื่อนหนุ่มๆเหล่านี้ มีความกล้าหาญชาญชัย ไม่เพียงแต่ที่พวกเขามีความเชื่อเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อที่มีการปฎิบัติ

พวกเขามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพาเพื่อนอัมพาตเข้าไปหาพระเยซูให้จนได้

พวกเขาไม่ฟังเสียงการขัดขวางหรือไม่มีอะไรที่จะมายั้บยั้งพวกเขาได้ ฉันใดก็ดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าให้มายั้บยั้งกีดขวางกั้นคุณ ห้ามไม่ให้ไปถึงพระเยซูเจ้า คุณกำลังใกล้จะทะลุทลวง ใกล้ยิ่งกว่าที่คุณรู้สึกสัมผัสได้แล้ว อย่าเลิกล้ม อย่ายอมแพ้ ขุดต่อไป รื้อต่อไปจนกว่าที่คุณได้ไปถึงพระองค์

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสริมกำลังในงานรับใช้ของทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์

วันที่ 17 กรกฏาคม 2016

จุดบอดของตัวเรา

วันนี้ขอพูดถึง การมองดูตัวเราเอง ส่วนใหญ่แล้วเราจะมีจุดบอดหลายอย่างในตัวเราเอง

เราต้องการคนที่จริงใจบอกความจริงแก่เรา ไม่ต้องใส่ไข่เติมสีอะไร ขอให้เป็นความจริงล้วนๆ
คนที่เขารักเราจริงๆ จะมีใจเป็นห่วงเป็นใยเรา ที่จะกล้าตักเตือนบอกเราถึงสิ่งที่ตัวเราเองมองไม่เห็นจุดบกพร่องเหล่านี้

ไม่ว่าจะความบาปที่ฝังลึกในตัวเรา ที่เราต้องกำจัดมันออกไป

เราอาจจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่นัก พยายามหลบหลีก คุณจะต้องอย่ามองเป็นเรื่องส่วนตัว

ให้มองข้ามถ้อยคำตรงไปตรงมาของเขา ฟังและคิดถึงสิ่งที่เขาบอกบอกเรา

ความจริงในสิ่งที่เขาตักเตือนตัวเรานั้นเป็นจริงหรือเปล่า

พระธรรมสุภษิตบทที่ 12 ข้อที่ 15 ได้กล่าวไว้ว่า
" คนโง่คิดว่าทางของตนถูกต้อง ส่วนคนฉลาดยอมรับฟังคำแนะนำ"

ความจริงบางครั้งก็เจ็บปวด แต่เราก็ต้องเชื่อและวางใจในคนที่กล้าพูด กล้าสอนแก่เราตรงๆ หวังดีและห่วงใยชีวิตของเราจริงๆ

ถ้าเราอยากจะเห็นชีวิตของเรา ครอบครัวของเรา ประสบกับความสำเร็จในชีวิตนี้จริงๆ

คุณจะต้องยอมเปิดใจ เชื่อและวางใจใครสักคนที่คุณไว้วางใจได้ คนที่เขามองชีวิตของคุณอย่างเข้าอกเข้าใจ ทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าหนทางชีวิตของคุณจะไปทางใดจบลงตรงที่ไหน

ยื่งถ้าคุณอยากจะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับตัวคุณ คนนี้แหละก็คือคนที่สามารถจะบอกคุณได้ตรงๆ

คุณต้องการฟังคำแนะนำจากเขา ไม่ใช่ฟังแต่คนที่คอยที่จะพูดเอาใจคุณแต่อย่างเดียว ดังภาษิตที่บอกว่า เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก

ดังนั้นถ้าคุณมีใครกล้าตักเตือนว่ากล่าวหรือแนะนำสิ่งใดๆในตัวเรา สิ่งแรกก็อย่าหุนหันพลันแล่นโกรธเคือง ไม่พอใจเขา ฟังหูไว้หูก่อน

เขาอาจจะหวังดีหรือหวังร้ายก็ได้ แล้วค่อยมาพิจารณาว่า สิ่งที่คนนี้พูดมันคืออะไร เรารู้จักนิสัยใจคอเขาดีไหม เขาเป้นคนเช่นไร

ในพระธรรม สุภาษิตบทที่ 13 ช้อที่ 15 ได้บอกว่า "ความหยิ่งยโสมีแต่นำไปสู่การวิวาท แต่ปัญญาพบได้ในผู้ที่รับฟังคำแนะนำ"

แผนการณ์งานต่างๆที่ไม่ประสบความสำเร็จ ล้มเหลว เพราะขาดที่ปรึกษาที่ดี ที่จริงใจ

จากพระธรรมสุภาษิตเดียวกัน บทที่ 15 ข้อที่ 22 ก็ได้บอกว่า "ขาดคำปรึกษาแผนงานต่างๆ ก็ล้มเหลว แต่มีที่ปรึกษาหลายคนทำให้ประสบผลสำเร็จ"

คำถามที่อยากจะถามท่านว่า ใครที่กล้าบอกความจริงแก่คุณ คนนั้นแหละเพื่อนแท้ของคุณ

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์