วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หนทางไปสู่สันติสุข

คำสั่งสุดท้ายประการหนึ่งก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะจากเหล่าสาวกไปนั่นคือ "ท่านจะอยู่ในโลกนี้ที่มีแต่ความวุ่นวาย"(ยน.16.33) เวลานั้นผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว ซึ่งปัญหาและความวุ่นวายเวลาที่พระองค์ตรัสนั้นเทียบกับในเวลานั้ไม่ได้เลย สังคมโลกมนุษย์เวลานี้เรียกว่าตื่นมาก็มีแต่ความเครียดกันทุกวัน ความกดดันในเรื่องเศรษฐกิจ การงาน ความคาดหวังของคนรอบข้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ขโมยสันติสุขไปจากเรา จากครอบครัวเรา บ้านกลายเป็นที่ไม่น่าอยู่ มีแต่เรื่องวุ่นวายกันอยู่ตลอด อยู่ในบ้านเดียวกันแท้ๆแต่ก็ต้องคอยหลบๆหลีกๆ ไม่ให้มาชนกัน มันไม่เหลืออะไรในบ้านที่เป็นสันติสุข ความสงบร่มเย็นอีกต่อไป เหมือนมีระเบิดเวลาที่พร้อมจะประทุ ระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะแก้ด้วยการทานยาระงับประสาทก็ไม่แก้ หรือตั้งหน้าตั้งตาหาแต่เงินทอง วัตถุสิ่งของ หรือหาความสุขใส่ตัวก็ไม่พบ
สันติสุขในพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้านั้นมีอยู่ 3 ทาง
1. สันติสุขกับคนอื่น (รม12.18) สันติสุขภายนอกนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราทั้งหลายทุกคน และควรพัฒนาให้ยั่งยืนตลอดไป

2. สันติสุขในตนเอง(คส.3.15) สันติสุขภายในใจนี้ก็สำคัญ เป้ฃ็นส่วนที่หายไปจากชีวิตคนเราส่วนใหญ่
3. สันติสุขในพระเจ้า(รม.5.1)  สันติสุขในจิตวิญญาณ ที่เกิดขึ้นมาจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า

สรุปแล้วก็คือ เมื่อเรามีสันติสุขในพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราก็จะมีสันติสุขในตนเอง เมื่อตัวเรามีสันติสุขแล้ว เราก็จะมีสันติสุขกับคนอื่น นี่แหละคือขบวนการขั้นตอนที่จะนำเราไปสู่สันติสุข

ความสัตย์ซื่อ 3 ขั้นตอน

พระธรรมเอเฟซัสบทที่4 ข้อที่ 25

การพูดความจริงนั้นฟังดูก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร แต่มี 3 ขั้นตอน
1. ในการพูดการจา เมื่อใครก็ตามถูกพบว่ามีการโกหก ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจต่อคนนั้นลดลง เช่นสามี หรือ ภรรยา ถูกจับได้ว่าโกหกกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง เรื่องปัญหาในครอบครัว
ตราบใดที่ชีวิตสมรสยึดมั่นความจริงต่อกันและกันด้วยความรัก ตราบนั้นก็จะเกิดความมั่นคงเข้มแข็งต่อเขาทั้งสอง(อฟ.4.15)
2. ในนิสัยใจคอและการกระทำ ความสัตย์ซื่อคือกุญแจแห่งชีวิตที่เป็นตัวจริงของจริง ทุกวันนี้สังคมทุกระดับชนชั้นเราต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน ไม่มีความจริงใจต่อกัน(ลก.16.10)

เราจะเป็นคนจริงแท้ได้โดยการรักษาคำพูดของเรา ถ้าหากเราได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรไว้ให้กับใคร เราก็จะต้องรักษาคำพูดนั้น ปฎิบัติตามนั้นอย่างจริงจัง ให้ดีที่สุด

ถึงแม้ว่าในบางครั้งเราอาจจะต้องยอมเสียสละ ยอมละทิ้ง สูญเสียบางสิ่งบางอย่าง เราก็ต้องยอมเพื่อที่จะเป็นคนรักษาคำพูดของเราไว้ให้มั่น

3. ในความเป็นจริง ทำไมการพูดความจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะในความสัมพันธ์ชีวิตของคนเรานั้นมันขึ้นอยู่กับการไว้วางใจซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นแล้ว
    ก. เราจะเป็นคนที่ไว้ใจอะไรแก่ใครไม่ได้เลย ชีวิตไม่มีผลดีใดๆแก่ใครได้เลย
    ข. เรามีชีวิตที่ทำอะไรก็ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ทำให้ลำบากใจ ไม่กล้าเข้าหน้าคน ชีวิตขาดความมั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็เป็นเหมือนวัวสันหลังหวะ มีบาดแผลที่ไม่ยอมหายสักที ต้องคอยเสแสร้งต่อหน้าสาธารณะและชีวิตส่วนตัวไม่พัฒนาดีขึ้นเลย
    ค. เราจะกลายเป็นคนที่ระมัดระวังคำพูดคำจา ไม่คล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน จะพูดจะบอกอะไรใครก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ก็เลยกลายเป็นคนไม่ยอมพูดจากับใครง่ายๆ
    ง. เราก็จะไม่ไว้วางใจใคร เราไม่เชื่อใจใครง่ายๆ เรามองคนในแง่ร้าย วิพากวิจารณ์เพื่อนบ้านในทางลบ ชีวิตเรากลายเป็นคนขี้ระแวง เราเป็นไปตามกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวของเราเอง
    จ. เราเริ่มทำตัวเหนือคนอื่น คิดว่าใครๆเขาก็โกหกกัน สุดท้าย เราก็ไว้ใจตัวเราเองไม่ได้เฃ่นกัน เลยอยู่ในโลกของตัวเราเองโดยลำพัง

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

27 กรกฏาคม 2016 วิธีรับมือกับคนเจ้าปัญหา

พระธรรมยากอบบทที่1ข้อที่ 19 "พี่น้องที่รักพึงทราบข้อนี้คือ ทุกคนควรไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ"
หนทางที่เราจะหลีกเลี่ยงหนีให้พ้นจากคนเจ้าปัญหาก็คือหนีไปอยู่ที่โลกอื่น ตราบใดที่เราอยู่ในโลกนี้ เราจะต้องพยายามเข้าใจว่า มนุษย์ชาติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา ศาสนาใดก็ตามในโลกเรานี้ ล้วนแล้วมีทั้งคนดีคนชั่ว คละเคล้ากันไปหมด เราจะต้องพบจะต้องเจอ
ไม่ว่าแม้กระทั่งพี่น้องที่คลอดมาจากท้องแม่เดียวกันก็ตาม ก็จะมีทั้งดีและไม่ดี ถ้าเราไม่พยายามเข้าใจสิ่งนี้ เราจะอยู่ในโลกสังคมนี้ยากมาก
มีนักบวชท่านหนึ่งอุทิศตัวที่ขอไปอาศัยอยู่ในป่าอาศรมวิเวกวังเวง ไม่พูดไม่จากับใครเป็นเวลา 1 ปี เมื่อ 1 ปีผ่านไปก็ได้ไปพบเจ้าอาวาสวัด เจ้าอาวาสก็บอกว่าขอเชิญพูดได้ สิ่งแรกที่ท่านพูดออกมาก็คือ "ที่นอนลำบากมาก" ปีที่สอง เมื่อให้พูดอีกท่านก็บอกว่า "ที่พักร้อนลำบาก" ปีที่ 3 นักบวชผู้นี้บอกเจ้าอาวาสว่า "อาหารแย่มาก ผมขอลากลับ"เจ้าอาวาสก็บอกว่า "ท่านไม่คิดเรื่องอื่นเลยบ้างหรือไง ตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านก็คิดแต่ปัญหาความลำบากต่างๆนานา"
ไม่ว่าจะเป็นใคร ที่ไหนๆก็ตาม เราก็ยังจะมีคนเจ้าปัญหาตามไปสร้างปัญหาอยู่ทุกที่ทุกแห่ง คนเจ้าปัญหาเช่นนี้อยู่ที่ไหนก็คอยแต่จะมีแต่ปัญหามีแต่เรื่อง ชอบค่อนแคะ คุ้ยเขี่ยเรื่องของคนอื่น ชอบกวนน้ำให้ขุ่นอยู่ร่ำไป
แล้วเราจะทำอย่างไรดีกับคนเช่นนี้ ศึกษาดูจากชีวิตของชาวไร่ชาวสวน เขาหว่าน เขาปลูก เขาทำรุ่น(ถอนหญ้า พรวนดิน) เขามั่นคงสม่ำเสมอในการงานเช่นนี้เป็นประจำ เหมือนเช่นข้อพระวจนะข้างต้นที่บอกให้เราทุกคนควรไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ 
เราก็จะไม่ไปเป็นคนเจ้าปัญหาคาใจ สร้างความลำบากลำบนให้กับใคร แล้วชีวิตที่ดีและความสำเร็จในการดำรงชีวิตก็จะเป็นของเรา ไม่มีทางลัดทางอื่นใดๆเลย 
หนทางเดียวที่เราจะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนทั่วๆไป คือต้องฝึกฝนตามข้อพระวจนะนี้ด้วยใจอดทน เพียรพยายาม ถ้าเราทำได้เช่นนี้ พระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงสถิตอยู่กับเรา
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์https://od.lk/f/M18xMzI5MzA4MDlf

26 กรกฏาคม 2016 เราจะต้องมีนิมิตของพระผู้เป็นเจ้า

ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศล้วนมาจากเบื้องบน จากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลายในฟ้าสวรรค์ ผู้ไม่ได้ทรงผันแปรเหมือนเงาที่แปรเปลี่ยน  ยก.1.17
ถ้านิมิตในชีวิตของเราคือการร่ำรวย มั่งมี ศรีสุข ได้มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ มีแต่ความงกเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้ใช้โดยลำพัง นิมิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่นอน 
นิมิตที่มาจากพระเจ้าและจะประสบความสำเร็จนั้นก็ต้องรู้จักที่จะเป็นพรแก่คนอื่นด้วย นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง
เมื่อพระผู้เจ้าประทานนิมิตให้อับราฮาม พระองค์ประทานพระสัญญาไว้ดังนี้
 "เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ
และเจ้าจะเป็นพร เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า
ทุกชนชาติทั่วโลก จะได้รับพรผ่านทางเจ้า” (ปฐก.12.2)
นิมิตที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องฝ่ายจิตวิญญาณ
จากข้อพระธรรมข้างต้นเราจะเห็นว่า"ของประทานทุกอย่างที่ดีและล้ำเลิศล้วนมาจากเบื้องบน" ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถ ลาภ ยศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆที่ดี ล้วนมาจากเบื้องบน เป็นของสูงที่มาจากพระผู้สร้าง 
ไม่ว่าคนนั้นจะทราบจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พระพรและพระสัญญานี้ก็มีเพื่อจะเป็นพรแก่ตัวของเขาและครอบครัวและเผื่อแผ่ไปสู่ผู้อื่น นี่คือนิมิตของพระผู้เป็นเจ้า 
เราไม่ต้องไปแสวงหานิมิตอะไรใหม่ๆจากพระผุ้เป็นเจ้าอีกแล้ว  เพราะมีนิมิตเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสผ่านในวาระสุดท้ายนี้ คือทางของพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น(ฮบ.1.2) 
เราจะต้องปรับวิสัยทัศน์ของเราในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ปรับทัศนคติเรื่องความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์เสียใหม่ จัดระเบียบเรื่องการมีสิ่งดีๆที่มาจากเบื้องบนนี้เสียใหม่ 
ท่านออกัสตินกล่าวว่า ในของดี ความจริง ปัญญา ความเฉลียวฉลาด ความสามารถเก่งกาจของมนุษย์นั้นทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบนทั้งสิ้น 
พระองค์ทรงเป็นจ้าวแห่งความจริงทั้งสิ้นทั้งปวง ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ มีจุดยืนนี้อย่างนี้แล้ว เราก็จะทุ่มเท กำลังกายกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มที่ ที่จะให้ตัวเราเป็นท่อพระพร บ่อน้ำพุขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้พระพรนานับประการไหลผ่านเราไปสู่โลก เพื่อประกาศพระสิริของพระองค์
“พระ‍ยาห์‌เวห์​นั้น​ยิ่ง‍ใหญ่ พระ‍องค์​ผู้​พอ‍พระ‍ทัย​ใน​ความ​สม‌บูรณ์‍พูน‍สุข​ของ​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​พระ‍องค์” สดด.35.27 
นี่แหละนิมิตที่พระผู้เป็นเจ้าปรารถนาที่จะให้เรามี
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านนะครับ

ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

25 กรกฏาคม 2016 พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา

"เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครเล่าจะต่อสู้เราได้? พระธรรมโรมบทที่ 8 ข้อ 31ประโยคนี้ไม่ใช่เป็นการตั้งคำถาม และก็ไม่ใช่ที่ใครจะมาต่อสู้เรา แต่ข้อนี้กำลังจะเน้นว่า พระเจ้านั้นทรงสถิตอยู่กับเราไม่ว่าพ่อแม่จะละทิ้งเราไป ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนใกล้ชิดปฎิเสธเรา หรืองานแล้วงานเหล่าที่ปฎิเสธรับเราเข้าทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บหรือปัญหาใด พระองค์ก็ทรงสถิตอยู่ใกล้เรา อยู่กับเรา ผมไม่ได้บอกว่าเราจะไม่มีปัญหาใดหรือความทุกข์ใดๆ แต่จะบอกว่าไม่มีอะไรที่จะมาขัดขวางหรือต่อสู้เราได้ เพราะพระเจ้าอยู่ฝ่ายเราไม่ใช่"ถ้า" "อาจจะ" หรือ "บางที" ไม่ว่าคุณจะทำดีสักเพียงไรหรือมีบาปชั่วมากมายแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นตัวกำหนดว่าพระเจ้าจะอยู่กับเราหรือไม่ขอให้เราตระหนักไว้เสมอว่า พระผู้เป็นเจ้าสถิตเคียงข้างคุณทุกเวลานาที พระองค์ทรงให้กำลังใจ เชียรให้เราเดินหน้าต่อไป ขอให้เรานับพระพร ย้อนดูนับทีละอัน แล้วเราจะเห็นว่า ตลอดวันเวลาที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงมีพระหัถต์เหนือชีวิจของเรามาตลอดขอเน้นอีกครั้งนะครับ ไม่ใช่ผมกำลังจะมองโลกสวย หรือถนนปูด้วยกลีบกุหลาบ เพียงแต่จะเตือนใจคุณว่า " ดูเถิด เราได้สลักชื่อของเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา" พระธรรมอิสยาห์บทที่ 49 ข้อที่ 16ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์
https://od.lk/f/M18xMzI2OTE0MTFf

24 กรกฏาคม 2016

ฟื้นฟูใจจากการหย่าร้าง (1)

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว อย่าฝังใจกับอดีต อสย.43.18

ผลพวงจากการหย่าร้างนั้นเป็นความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานใจมากที่สุด มากยิ่งกว่าความทุกข์ใดๆของมวลมนุษย์ชาติ

ใครที่มีประสบการณ์นี้ก็ย่อมรู้แก่ใจได้ดี ถ้าไม่เคยก็ให้ดีใจและมีน้ำใจเมตตาต่อคนที่รับผลกรรมของการหย่าร้าง

มันเป็นเรื่องของจิตใจที่แตกสลาย บอบช้ำจากการถูกทอดทิ้งปฎิเสธ ไม่มีความรัก ไม่เหลือเยื่อใยใดๆอีกต่อไป มันแย่ยิ่งการการตายที่เพียงเป็นการดับสูญ หายไปแต่การหย่าร้างมันเป็นความตาย ความทุกข์ทรมานที่ไม่มีวันหมดไปตราบใดที่คู่กรณียังมีชีวิตอยู่

บางคืนความเหงา ความว้าเห่วในยามค่ำคืนที่ไม่มีใครสักคนสนใจเรา คุณรู้สึกทำอะไรไม่ได้สักอย่าง มันตื้อตันไปหมด เรื่องง่ายๆก็กลายเป็นเรื่องยาก ความหงุดหงิดรำคาญใจก็เกิดขึ้น เพื่อนใกล้ชิดก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่เราต้องการ

อย่าท้อแท้ใจ สถานะการณ์เช่นนี้มันไม่ใช่จะคงอยู่ตลอดเวลา คุณจะต้องรับการฟื้นฟูใจใหม่ สถานะการณ์จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คุณจะต้องไม่จมในความทุกข์ระทมอย่างนี้ตลอดไป แต่มันจะต้องใช้เวลา ทุ่มเท เสียสละบางสิ่งบางอย่าง ในความรุ่งเรืองอาจจะไม่เท่าเดิม แต่โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ก็จะช่วยพยุงให้คุณลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่ มีความรักใหม่ เริ่มต้นใหม่ ต่อไป

เมื่อคุณทุ่มเทเวลาเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า พระวจนะ พระสัญญาของพระองค์ แน่นอนเลยว่าพระผู้ทรงสร้างจะสร้างคุณขึ้นมาใหม่ เคล็ดลับแห่งชีวิตต่างๆจะถูกเปิดเผยให้คุณได้ทราบ ไม่ช่าไม่นานที่คุณจะสามารถยืนบนลำแข้งของคุณเองได้ แล้วก้าวออกไปข้างได้เหมือนเดิม

(สดด.147.3) "พระองค์ทรงรักษาผู้ที่ดวงใจแหลกสลาย และสมานรอยแผลของเขาเหล่านั้น" พระสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าบอกไว้อีกแห่งว่า"“เรานี่แหละคือผู้ที่ลบล้างการล่วงละเมิดของเจ้าเพื่อเห็นแก่เราเอง
และจะไม่จดจำบาปของเจ้าอีกต่อไป" (อสย.43.25)

ไม่มีความบาปอะไรที่พระผู้ทรงสร้างจะให้อภัยไม่ได้ ขอให้เรามอบหนทางและชีวิตให้กับพระองค์ พระผู้สร้างชีวิต

ขอพระพรจากองค์พระบิดาเจ้าผู้ที่ทรงรักมนุษย์ทั้งหลาย อวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์


23 กรกฏาคม 2016

อธิษฐานด้วยท่าทีที่ถูกต้อง

2 สิ่งที่เราทำผิดในการอธิษฐาน

1. เรามุ่งเน้นไปที่ความล้มเหลวของเราจนไม่มีความมั่นใจ ความเชื่อในการอธิษฐาน (ดู 1 ยน 3: 21-22)

2. เรามีท่าทีผิดๆ พระธรรมสดุดีบทที่ 139 ข้อที่ 23-24 " ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตรวจตราดูเถิด และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงตรวจสอบและประจักษ์แจ้งความคิดกระวนกระวายของข้าพระองค์
โปรดดูว่ามีสิ่งใดบ้างในตัวของข้าพระองค์ซึ่งไม่เป็นที่พอพระทัย และขอทรงนำข้าพระองค์ไปตามวิถีนิรันดร์ "

บางครั้งที่พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของเราก็เพื่อเป็นการดีของเรา หรือบางทีอาจจะยังไม่ตอบทันทีทันใด

บางทีความต้องการในเรื่องที่อธิษฐานอาจจะเป็นเรื่องจริง เรื่องด่วนแต่ว่ามีท่าทีผิดๆ มีวาระแอบแฝง อยากอวดอยากเอาหน้า ไม่ชอบขี้หน้าใครบางคน อยากเอาชนะล้ำหน้าคนอื่น อยากจะเห็นคนอื่นได้ทุกข์ ซ้ำเติมคนที่ไม่ผิดฯลฯ

ในอดีตก็มีตัวอย่างของคนคลั่งศาสนาตามืดตาบอดบอด มองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเคร่งศาสนากับคลั่งศาสนา

พวกเขาต่อสู้เพื่ออิสระเสรีแต่ยังกดขี่คนยากคนจน คนใช้ในครัวเรือน เขาต่อต้านการกดขี่ข่มแหงทางเพศแต่ไม่เคยสำแดงความรักความอบอุ่นในครอบครัวของตน

ในบางครั้งการไม่ตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ดีในบางเรื่องบางเวลา ปกป้องเราจากการทำตามเนื้อหนัง ตามใจของเราเอง

บางคนยิ่งสูงก็ยิ่งเพี้ยน ยิ่งมีหน้ามีตา มีตำแหน่ง ใครบอกใครเตือนก็ไม่ได้ ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่

ลองคิดดูซิว่าถ้าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานทุกคำอธิษฐาน ที่ใช้การอธิษฐานเป็นเครื่องมือสร้างพลังอำนาจควบคุมโลกและชุมชนให้อยู่ภายใต้ของตน มันเป็นความวินาศสันตะโร เกิดความเสียหายป่นปี้บนโลกใบนี้สักเพียงไร เหมือนกับเด็กที่ถูกตามใจมีของเล่นทุกอย่างที่อยากได้มีเงินมากมายจนสุหรุ่ยสุหร่าย กระนั้นก็ยังไม่พอไม่อิ่ม ไม่สนใจใครจะเดือนร้อนอย่างไร ใช้อำนาจบาทใหญ่เหนือคนอื่นๆ หลงระเริงในลาภ ยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว(อสย.30.18)

การที่คำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบหรือยังไม่ได้รับคำตอบ อาจจะทำให้เราผิดหวัง ท้อถอย สับสนในตอนแรก แต่ก็อาจจะเป็นการช่วย ปกป้องตัวเราให้เข้าไปใกล้ชิด ติดสนิทพระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงท่าทีจิตใจของเราเสียใหม่

เป็นเสมือนไฟถลุงเงินถลุงทองที่เอาขี้แร่ออกไปจากตัวเราให้เป็นทองคำเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์มีค่า ช่วยปรับปรุงคำอธิษฐานของเราให้เกิดผลในอนาคตต่อไป  เหล่านี้อยู่ที่การมีท่าทีต่อการอธิษฐานที่ดีและถูกต้องนั่นเอง

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรทุกๆท่านในวันนี้นะครับ
ทัศนพงศ์ ล.สุวรัตน์